บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สมาธิในการเรียนของหลาน

ผมต้องการจะวิพากษ์วิจารณ์การอบรม 10 วันของท่านโกเอ็นก้า  เมื่อค้นไปค้นมาก็พบหัวข้อกระทู้ห้องศาสนาในพันธุ์ทิพย์ที่เกี่ยวข้อง ก็เลยวิเคราะห์ผ่านกระทู้นั้นดีกว่า

คนตั้งกระทู้คือ Poohnim เห็นคนในแวดวงนั้น เรียก “ปูนิ่ม” ต่อไปก็จะเรียกตามนั้น  คุณปูนิ่มตั้งกระทู้ชื่อ “วิเคราะห์วิปัสสนา (แบบของท่านโกเอ็นก้า).จากประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์

คุณปูนิ่ม ที่คงไม่โง่เหมือนนายกฯ ของประเทศสารขันธ์ (ยืนยันว่า ไม่ใช่ประเทศไทย) ประกาศคุณวุฒิก่อน ดังนี้

พื้นฐานการศึกษา :.
จบปริญญาเอก เรียนสายด้านการแพทย์ เป็นผู้รักษาและเป็นนักวิจัย

พื้นฐานศาสนา :.
ศาสนาพุทธแบบไม่ใช่พิธีกรรม ได้ยิน ได้อ่าน พอประมาณ ไม่เคยปฏิบัติ

พื้นฐานความเชื่อ :
ไม่เคยขอหวย ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ ไม่ชอบทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ ไม่ทอดผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน แต่จะทำบุญกับคนป่วย คนพิการ หมาจรจัด และให้ทุนการศึกษาเป็นประจำ

มาวิปัสสนาเพราะ :
ต้องการรู้ว่า วิธีนี้จะทำให้หลานมีสมาธิในการเรียนได้ดีขึ้นหรือไม่ ไม่ได้มาเพราะเป็นทุกข์ ไม่ได้ต้องการมาแก้กรรม ชีวิตมีความสุขดีมาก รู้สึกว่ามีพร้อม พอเพียงทุกอย่าง

เลือกแบบของท่านโกเอ็นก้าเพราะ :.
“ความทุกข์ของมนุษย์เป็นสากล ไม่ว่าศาสนาใดความทุกข์ของมนุษย์ก็เหมือนๆกัน การขจัดความทุกข์ก็ต้องเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องของศาสนา”

ผมอ่านถึงแค่ย่อหน้าแรกก็มึนไปเป็นครึ่งชั่วโมง  คุณปูนิ่ม ซึ่งมันสมองคงนิ่มไปชั่วขณะ แค่ต้องการจะหาแนวทางให้หลานมีสมาธิในการเรียน ถึงกับเอาตัวเองซึ่งเป็นด็อกเตอร์ยกกำลังสอง เป็นนักวิจัยด้วย ลงทุนหาความรู้ด้วยตัวเอง

บอกตรงๆ  อ่านแค่ย่อหน้านี้ ผมไม่อยากจะคิดในแง่ลบเลย  ผมว่า คุณปูนิ่ม คนนี้แกโกหกมากกว่า ถ้าคุณปูนิ่ม แกเป็นอย่างนั้นจริง อย่างที่แกว่ามา

คุณปูนิ่ม คือ เป็นด็อกเตอร์จริง เป็นหมอจริง จบปริญญาเอกจริง แกก็ต้องเป็นหมอ เป็นดอกเตอร์ ที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา

หลักฐานประการที่ 1
คุณปูนิ่มจะหาแนวทางฝึกสมาธิให้หลาน  คุณก็ต้องหากลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กอายุเท่าหลาน ความรู้เท่าหลาน และไปดูว่า เด็กเหล่านั้น ไปเรียนที่ไหน อย่างไร

นี่เอาตัวเองที่เป็นหมอ เป็นด็อกเตอร์ไปเรียน  หรือคุณปูนิ่มแกจะโง่กว่านายกฯ ของประเทศสารขันธ์ซะแล้ว

หลักฐานประการที่ 2

คุณปูนิ่ม แกบอกพื้นฐานศาสนากับพื้นฐานความเชื่อไว้ ดังนี้

ศาสนาพุทธแบบไม่ใช่พิธีกรรม ได้ยิน ได้อ่าน พอประมาณ ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยขอหวย ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ ไม่ชอบทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ ไม่ทอดผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน แต่จะทำบุญกับคนป่วย คนพิการ หมาจรจัด และให้ทุนการศึกษาเป็นประจำ

ผมไม่เข้าใจคำว่า “ศาสนาพุทธแบบไม่ใช่พิธีกรรม” ของคุณปูนิ่ม

แกบอกว่า “ไม่เคยปฏิบัติ” ซึ่งก็หมายความว่า ไม่เคยปฏิบัติธรรม อันนี้พอเข้าใจ  แต่เมื่อบอกว่า “ไม่เคยขอหวย” ผมก็เริ่มงงอีกครั้ง  มันมาเกี่ยวอะไรด้วย  หรือคุณปูนิ่มแกคิดว่า พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติธรรม ชอบขอหวย 

จากที่ผมคิดว่า คุณปูนิ่มแกโง่ชั่วคราว  ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่า คุณปูนิ่มแกคงบ้าชั่วคราวไปแล้ว

สำหรับข้อความนี้ “ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ ไม่ชอบทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ ไม่ทอดผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน แต่จะทำบุญกับคนป่วย คนพิการ หมาจรจัด และให้ทุนการศึกษาเป็นประจำ

ผมก็เริ่มสันนิษฐานใหม่ว่า คุณปูนิ่มแกคงทั้งโง่ ทั้งบ้าไปแล้ว  คือ คุณปูนิ่มแทบจะไม่เชื่อในศาสนาพุทธเลย  พูดง่ายๆ ว่า ไม่เชื่อศาสนาพุทธในเมืองไทยเลย

แต่พอจะหาวิธีฝึกสมาธิให้หลาน ดันเสือกเลือกวิธีการปฏิบัติธรรมของพม่าในเมืองไทย  แล้วก็เอามาคุยโม้โอ้อวดในเว็บของเมืองไทย

คุณปูนิ่มแกคงทั้งโง่ทั้งบ้าแบบชั่วคราวไปแล้ว 

หลักฐานประการที่ 3

คุณปูนิ่มแกอธิบายเหตุผลของการมาวิปัสสนาไว้ ดังนี้

ต้องการรู้ว่า วิธีนี้จะทำให้หลานมีสมาธิในการเรียนได้ดีขึ้นหรือไม่ ไม่ได้มาเพราะเป็นทุกข์ ไม่ได้ต้องการมาแก้กรรม ชีวิตมีความสุขดีมาก รู้สึกว่ามีพร้อม พอเพียงทุกอย่าง

เรื่องหาวิธีการสร้างสมาธิให้หลานผมบอกไปแล้ว  แต่การที่คุณปูนิ่มแกบอกว่า “ไม่ได้มาเพราะเป็นทุกข์ ไม่ได้ต้องการมาแก้กรรม ชีวิตมีความสุขดีมาก รู้สึกว่ามีพร้อม พอเพียงทุกอย่าง

ผมก็เริ่มงงๆ อีกว่า แกบอกมาทำไม  หรือแกคิดว่า คนที่เข้าปฏิบัติธรรมเป็นเพราะต้องการการแก้กรรม หรือมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส จึงต้องมาปฏิบัติธรรม

ถึงตอนนี้ ผมชักอยากจะรู้จริงว่า คุณปูนิ่มแกเป็นหมอจริงๆ หรือเปล่า  สงสัยว่า ถ้าไม่เป็นหมอดูตามต้นมะขาม  ก็น่าจะเป็นหมอนวดแผนโบราณ

ที่ว่าจบปริญญาเอก ก็น่าจะไปเรียนหลักสูตร “จ่ายครบ จบแน่” หรือไม่ก็ได้มาจากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก 

สำหรับที่แกคุยโม้ว่า เป็นนักวิจัยด้วยนั้น  คงเป็นงานวิจัยที่ สกว. รับไม่ได้แน่ๆ 

หลักฐานประการที่ 4  

คุณปูนิ่ม แกบอกเหตุผลที่เลือกแบบของท่านโกเอ็นก้าไว้ว่า “ความทุกข์ของมนุษย์เป็นสากล ไม่ว่าศาสนาใดความทุกข์ของมนุษย์ก็เหมือนๆ กัน การขจัดความทุกข์ก็ต้องเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องของศาสนา”

ถึงตอนนี้ ผมมึนไป 8 ตลบ 

ข้อความข้างต้นนั้น ไม่สมควรเป็นข้อความที่คนที่เรียนจบระดับปริญญาเอกเลย  มันมั่ว มันไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลเลย ถึงตอนนี้ ผมขอฟันธงไปเลย   อีนางปูนิ่มคนนี้ “โกหก” แน่ๆ  

ท่านโกเอ็นก้าท่านประกาศว่า แนวทางปฏิบัติธรรมของท่านเป็นแนวทางในศาสนาพุทธมาตลอด  อาจารย์ของโกเอ็นก้า ซึ่งเป็นคิดแนวทางนี้ ก็บอกว่า เป็นของพุทธ อีนางนี้บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของศาสนา

อย่างไรก็ดี  คุณปูนิ่มแกชี้ให้เห็นลักษณะสำคัญของการปฏิบัติธรรมของโกเอ็นก้ารวมถึงสายสติปัฏฐาน 4 จากพม่าทุกสายด้วยคือ

สายของพระพม่านั้น เชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนา  เอาศาสนาไปเป็นเครื่องมือของวิทยาศาสตร์ ประเด็นนี้ ท่านโกเอ็นกาเองก็บอกแล้วว่า “ท่านเชื่อวิทยาศาสตร์”

พระพม่าเชื่อว่า “ตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียว”  แบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้น แนวทางปฏิบัติธรรมใดๆ ต้องเอาให้เสร็จสิ้นในชาตินี้ให้ได้ 


7 ปี  7 เดือน 7 วันบ้าง  10 วันบ้าง  เป็นแนวทางปฏิบัติธรรมแบบ “แดกด่วน” ทั้งสิ้น  



1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 สิงหาคม 2557 เวลา 23:04

    ท่านผู้วิพากษ์ ควรจะรู้จักละอายต่อการเรียกตัวเองว่า “ดอกเตอร์” ด้วยว่า ควรหมายถึง ผู้มีความรู้ มีมารยาท และรู้จักพิจารณา มิใช่กล่าวหาด่าว่าผู้ประพฤติธรรมอันสูง ด้วยถ้อยคำอันหยาบคายเช่นนี้ จะทำให้เสียสถาบันของผู้ที่ชื่อว่ามีการศึกษา แม้ได้คำว่า “ดอกเตอร์” ที่ได้มาอย่างยากลำบากนำหน้าแล้ว แต่จิตใจยังหมกมุ่นไปด้วยความโกรธ ความเกลียด และความเคียดแค้นชิงชัง ในความยกตนข่มท่าน แล้วความเป็นดอกเตอร์ที่ได้มา จะมีประโยชน์อันใดกันเล่า ในเมื่อจิตใจมิได้รับการชำระให้อ่อนโยนลงเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับมีแต่อัตตาสุดโต่ง เต็มไปด้วยความมีมานะต่อคำว่า “ดอกเตอร์” ของตนเอง และเฝ้าด่าหาเรื่อง วิพากษ์วิจารณ์ทุกคน ยกเว้น “ตัวเอง” นี่หรือ คือ คนที่เรียกตนเองว่า “ดอกเตอร์” ?

    ตอบลบ