บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ตัด Sensation ไม่ใช่ตัดกิเลส

เรามาวิพากษ์วิจารณ์ กระทู้ “วิเคราะห์วิปัสสนา (แบบของท่านโกเอ็นก้า).จากประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์” ของคุณปูนิ่มเป็นบทความสุดท้ายกัน

เราพยายามหาคำอธิบาย พอจะเข้าใจได้ดั้งนี้คือ

นี่เป็นขบวนการตัด Sensation ที่ไม่ต้องการออก คือ การไม่พูด ไม่มองเห็น เหลือแต่ Sensation ในการรับสัมผัสเท่านั้น

ผมเคยเขียนไปหลายครั้งแล้วว่า  วิปัสสนาจากพม่าทุกชนิด ทุกประเภทไม่ใช่ “วิปัสสนากรรมฐาน” ในศาสนาพุทธ เพราะ ไม่ยอม “เห็น 

นี่ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้น วิปัสสนา แปลว่า “เห็นแจ้ง  เมื่อไม่ยอมเห็น แล้วจะเป็นวิปัสสนาไปได้อย่างไร

จากนั้น Sensation ในการสัมผัสก็ถูกทำให้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ที่ละน้อยๆ ทุกชั่วโมง

แยกความรู้สึกเจ็บ ปวด คัน อุณหภูมิ ความสั่นสะเทือน ออกจากกัน ไม่ใช่รู้สึกรวมไปกันหมด

ตามปรกติแล้ว ในการปฏิบัติธรรมนั้น เราต้องทำ “อารมณ์” ให้เหลือเพียงอารมณ์เดียว คือ เป็นเอกคตารมณ์  สมาธิมันถึงจะเกิดขึ้น 

การบริกรรมภาวนา บริกรรมนิมิตทั้งหลายก็คือ การทำให้ใจให้เป็นเอกคตารมณ์นั่นเอง  แต่เมื่อมัวเอาใจไปคิดโน่นคิดนี่

ไอ้นี่มัน “เจ็บ  ไอ้นี่มัน “คัน  ไอ้นี่มัน “ปวด  ถามจริงๆ เถอะ มันก็ไม่มีโอกาสที่จะใจจะหยุดนิ่งได้  คิดไปเรื่อย 

ทุกๆ Sensation จะเกิดขึ้น แล้วหายไป เป็นเรื่องธรรมชาติ

ตรงนี้ ขอยืนยันว่า อาการ “เจ็บ ปวด” ทั้งหลายนั้น ไม่ได้หลายไป

ผมเคยนั่งทีเดียว 3 ชั่วโมงมาแล้ว ที่เป็นไปได้ก็คือ  เราจะไม่รู้สึก “เจ็บ ปวด  ถ้าแยกกาย แยกจิตได้  แต่พอเลิกปฏิบัติธรรมแล้ว ปวดแทบตายทุกคน

คำว่า “แยกกาย แยกจิต” นั้น หมายถึงว่า เราไม่ไปรับรู้เรื่องของกาย  แต่จะทำอย่างนี้ได้สักกี่คน และทำแบบนี้ กิเลสมันลดลงไปเท่าไหร่

ส่วนใหญ่แล้ว การทำแบบนี้ กิเลสไม่ได้ลดลงไปเท่าไหร่ มีแต่ความซาดิสม์ ว่ากูทำได้  แต่ที่ดูเหมือนว่า กิเลสมันลดนั้น มันเกิดกับคนปฏิบัติธรรม ที่กิเลสมันลดไปก่อนหน้านี้แล้ว ถึงจะทำแบบนี้ได้

ถ้าไม่รู้จักแยก Sensation ความรู้สึกปวดจะนำหน้า เพราะเป็นความรู้สึกที่หยาบที่สุด ถ้าแยกได้ เราจะรู้ว่า ตรงนั้นเราไม่ได้ปวดอยู่ตลอดกาล

ตอนปวดหายไปก็มี หายไปนานด้วย

ในสภาวะปกติที่เราแยก Sensation ไม่ได้ เราจะบอกตัวเองว่าปวดๆ แล้วเราจะแปล Sensationที่เหลือทั้งหมด เป็นความปวดไปด้วย แล้วเราก็ปวดตลอดกาล

ถ้าแยก Sensation ได้ถึงในระดับ Subconscious เราจะรู้ว่า ตรงนั้นเราไม่ได้ปวดอยู่ตลอดกาล ไม่ได้ปวดจนทนไม่ได้

ตอนปวดหายไปก็มี ยิ่งไม่ต้องปรุงแต่งว่านี่เป็นความปวด แต่แปลให้มันเป็น Sensation ชนิดหนึ่งเท่านั้น ก็ยิ่งไม่ปวด เราจึงผ่านส่วนที่เราเคยคิดว่าเจ็บปวดไปได้ไม่ยากนัก

รู้สึกเหมือนค้นพบ Pain management ในการรักษาผู้ป่วยเลย

ข้อความตอนนี้ คุณปูนิ่มพยายามจะโกหกต่อว่า เป็นหมอ เป็นด็อกเตอร์ เป็นนักวิจัยอีกครั้งหนึ่ง จึงพยายามใช้ภาษาอังกฤษ

อย่างไรก็ดี  พระพม่า สาวกพระพม่า ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า การที่พวกเขาทั้งหลายมีอารมณ์ซาดิสม์ขึ้นมา 

ไปนั่งทรมานตัวเอง รับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนั้น กิเลสทั้งหลายมันลดลง หรือหายไปอย่างไร

การฝึกการรับ Sensation ให้มีความคมมากขึ้นได้ ก็มีผลข้างเคียงในเหมือนกัน

เรานอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วิสัย ที่บ้านมีหมาเป็นฝูง เสียงดังบ้างเป็นครั้งคราวก็หลับได้เสมอ เรารู้สึกว่า เราได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม้คนใกล้เคียงไอ เราก็รู้สึกถึงแรงกระแทก

รู้สึกงงกับตัวเองมาก บอกตัวเองว่ามากไปมั๊ง แต่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดหลายครั้งจนเข้าใจว่าไม่ได้คิดไปเอง ถึงนอนไม่หลับ แต่ก็ไม่อ่อนเพลีย

วันที่สุดท้ายที่เริ่มพูดได้ การรับ Sensation อันเฉียบคมลดลงไปอย่างรวดเร็ว ดึงกลับไปสู่สภาพเดิมได้ยาก

เข้าใจได้เลยว่า ผู้ปฏิบัติจะต้องทำวิปัสสนาให้ได้ทุกวันเพื่อคงสภาพนี้ไว้

ข้อความนี่ ก็ส่อให้ถึงความโง่ของคุณปูนิ่มอีกครั้ง  การฝึกแบบโกเอ็นก้าไม่ใช่วิปัสสนา  การฝึกวิปัสสนาต้อง “เห็น

สรุปว่า วิธีนี้จะทำให้หลานมีสมาธิในการเรียนได้ดีขึ้นหรือไม่ คำตอบคือไม่แน่.....ขึ้นกับผู้ปฏิบัติ

อ้าว...........ฉิบหายแล้ว  คุยโม้โอ้อวดมาเสียตั้งมากมาย  ผลการวิจัยของคุณปูนิ่ม แกได้ผลออกมาว่า “ขึ้นกับผู้ปฏิบัติ 

ผมแค่อ่าน ผมยังรู้เลยว่า “วิธีของโกเอ็นก้าไม่เหมาะกับเด็ก

ความที่คุณปูนิ่มต้องการจะโฆษณาให้กับโกเอ็นก้า จึงต้องมาแสดงความโง่ในที่สาธารณะแบบนี้  ก็ให้มันโง่กันตลอดไปเถอะ

โดยสรุป

ผมก็ขอยืนยันว่า พวกสาวกพระพม่านี่ สมองหมา ปัญญาควายทุกคน  ยังไม่รู้ว่า “วิปัสสนา” คือ อะไร  ดันเสือกไปเชื่อพระพม่าตาบอด  ไปยกย่องสิ่งที่ไม่ใช่วิปัสสนาว่าเป็นวิปัสสนา




กิจกรรม 10 วันกับโกเอ็นกา

เรามาดูกิจกรรมการอบรม 10 วันของท่านโกเอ็นก้า  กระทู้ชื่อ “วิเคราะห์วิปัสสนา (แบบของท่านโกเอ็นก้า).จากประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์” ของคุณปูนิ่มกันต่อ

บทความที่แล้ว ผมสันนิษฐานไปแล้วว่า คุณปูนิ่มแกโกหกว่าเป็นหมอ จบด็อกเตอร์ เป็นนักวิจัย เพราะ ข้อเขียนของแกชี้ไปทำนองนั้น

วันนี้มาวิพากษ์วิจารณ์กิจกรรม 10 วันกัน

การปฏิบัติเป็นเวลา 10 วัน ตื่นตีสี่ นอนสามทุ่มครึ่ง  ทุกวันปฏิบัติสิบสองชั่วโมงครึ่ง (หลับตาทำสมาธิ) พักตามเวลาอาหารเช้า กลางวัน เย็น (รวมเวลาลืมตาห้าชั่วโมงในหนึ่งวัน)

ข้อบังคับ ต้องถือศีลห้า
ห้ามพูดตลอดเวลาเก้าวันครึ่ง ให้ถามปัญหาในการปฏิบัติกับอาจารย์เท่านั้น
ห้ามใช้วิธีอื่นในการปฏิบัติ ห้ามบริกรรม ห้ามสวดมนต์ ห้ามเดินจงกรม
ค่าใช้จ่ายฟรีทั้งหมด ผู้ปฏิบัติต้องเข้าใจว่า ตนเป็นผู้ที่กำลังใช้ “ทาน” ที่ผู้อื่นได้บริจาคให้
เราว่า ฉลาดมาก คนที่มาปฏิบัติจะบ่นว่าที่พักไม่ดี อาหารไม่อร่อยได้ไง กำลังใช้ของที่เขาบริจาคให้อยู่

ขอให้ดูข้อความสีแดงที่ผมเน้นไว้ กับข้อความต่อไป เพราะว่า มันขัดกัน

เริ่มทำอาณาปานสติ คือการดูลมหายใจเข้าออก (สามวันครึ่ง) ห้ามพูดว่า พุท-โธ   ยุบหนอ-พองหนอ  หายใจเข้า-หายใจออก หรืออะไรทั้งสิ้น ดูด้วยความรู้สึกของธรรมชาติเท่านั้น

จะเห็นว่า การปฏิบัติธรรมแบบโกเอ็นก้านั้น ใช้การพิจารณาลมหายใจเข้าออก เป็นเวลา 3 วันครึ่ง ซึ่งการพิจารณาลมหายใจแบบพุทโธนั้น ถึงไม่ต้องบริกรรมภาวนาว่า “พุทโธ” มันไม่ใช่ “เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

แล้วคุณปูนิ่มแกไปเชื่อได้อย่างไรว่า “ห้ามใช้วิธีอื่นในการปฏิบัติ

วันแรกนั่งๆ หลับตานิ่งๆ ไม่เป็นเลย กลัวคนข้างๆ ด่ามาก ว่ารบกวนสมาธิ อีนี่แก่แล้วยังเป็นลิง ไม่รู้จักนิ่ง โชคดีจังที่เขาห้ามพูด

พออ่านมาถึงตอนนี้แล้ว  ยังไงๆ ผมก็ว่า คุณปูนิ่มแกโกหกแน่ๆ คนที่เป็นนักวิจัย สำนวนภาษาทำไมมันไม่ได้เรื่องถึงขนาดนี้

คำถามแรก.......อาจารย์คะ ขอถามแบบโง่ๆ ของคนไม่เคยปฏิบัติเลยนะคะ อย่าว่าแต่จะหาลมหายใจเลย เวลาเราหลับตาแล้วเราก็หาจมูกไม่เจอแล้วค่ะ ไม่ทราบว่า อยู่ตรงไหน
ตอบ................ก็อยู่ใต้ตาไงล่ะ ลองหลับตาลงแล้วก็จะรู้ว่าจมูกมันอยู่ใต้นั้น
(คิด.................ตอบง่ายจริง และจริงๆ ด้วยแฮะ รู้ได้จริง เรามัวแต่สร้างภาพว่าจมูกมันอยู่ข้างหน้า แต่ตรงไหนไม่รู้)

นี่ก็เป็นข้อเขียนที่ “โง่ๆ” อีกครั้งหนึ่งของคุณปูนิ่ม  ถ้าเป็นผมเป็นคนตอบนะ คงจะตอบแบบนี้

“อีควาย จมูกมึงอยู่กับมึงมาตลอดชีวิต พอหลับตาแล้วทำตอแหลหาจมูกไม่เจอ มึงก็กลับบ้านไปเหอะ”

ขอชี้แจงว่า ท่านโกเอ็นก้าไม่ได้ปฏิเสธวิธีปฏิบัติแบบอื่นๆ เลย ท่านขอแต่ว่าเวลาที่มาลองวิธีของท่านอย่าเพิ่งเอาวิธีอื่นเข้ามาปน

คุณอาจสับสนและบอกไม่ได้ว่าวิธีนี้ได้ผลหรือไม่  ถ้าไม่ได้ผลกับคุณก็ทิ้งวิธีนี้ไป

ข้อความตรงนี้ ก็แสดงความทั้งโง่ และปัญญาอ่อนของคุณปูนิ่มอีกครั้งหนึ่ง  เพราะ การที่เราสอนปฏิบัติธรรมแบบหนึ่งอยู่  เราก็ต้องบอกว่า “อย่าเพิ่งเอาวิธีการอื่นมาปฏิบัติ” 

ถ้าทำอย่างนั้น มันจะล้มเหลว ผิดหลักการเรียนการสอน  ไม่ว่าสายไหนก็ต้องทำอย่างนั้น

และส่วนใหญ่ที่จะพูดอย่างนั้น ก็ต้องเป็นการอบรมปฏิบัติธรรมในลักษณะที่ว่า คนเข้ามายังไม่รู้ว่าเป็นการอบรมสายไหน

แต่การอบรมแบบโกเอ็นก้านั้น  ส่วนใหญ่คนตั้งใจไปปฏิบัติอยู่แล้ว เพราะต้องสมัครไป แล้วจะพูดอย่างนั้นออกมาหาพระแสงด้ายาวไปทำไม

บ่ายวันที่สี่ เริ่มทำวิปัสสนา เป็นการสังเกตดู ความรู้สึกที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย

เริ่มด้วยส่วนเล็กๆ ที่ละส่วน ตามด้วยส่วนที่เป็นคู่สมมาตรกัน แล้วตามด้วยการสแกนตลอดร่างกายให้เหมือนเทน้ำราดหัวจรดเท้า สลับกันไป

ตรงนี้เป็นการยืนยันชัดเจนว่า การปฏิบัติธรรมแบบโกเอ็นก้า ก็เป็นวิปัสสนาตาบอดเหมือนกับสายของพระพม่าอื่นๆ  คือ ไม่มีการเห็น (Sighting) จริงๆ  แต่ใช้ “ความรู้สึก” เอา  

ถ้าจะพูดกันอย่างฟันธงจริงๆ  การปฏิบัติธรรมแบบโกเอ็นก้าไม่ควรจะนับเป็นการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ และก็ไม่ควรเป็นการปฏิบัติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น

การปฏิบัติธรรมแบบโกเอ็นก้าเกิดขึ้นมาเพราะ “ความงมงายในวิทยาศาสตร์” ของพระพม่า  จึงเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาปะปนกับการปฏิบัติธรรม จนการปฏิบัติธรรมแบบพระพม่าเปลี่ยนไปจนไม่สามารถทำให้ใจหยุดนิ่งได้

ท่านผู้อ่านลองคิดดู  การที่เราเอาใจพิจารณาสังเกตร่างกายไปเรื่อย เดี๋ยวเจ็บตรงโน้น  เดี๋ยวปวดตรงนี้ เมื่อไหร่ใจมันจะหยุดนิ่งได้

การปฏิบัติแบบนี้เหมาะสำหรับพวกซาดิสม์ที่ชอบความเจ็บปวดเท่านั้น

ในแต่ละวันจะมีการนั่งแบบไม่เปลี่ยนท่านั่งตลอดหนึ่งชั่วโมง สามครั้ง ลองทำดูก็ได้ว่ายากไหม

จากคนที่เคยนั่งเหมือนลิง สามารถทำได้ในวันที่ห้า ..... งงจริงๆ ทำได้ทุกครั้งเลย ทำได้นานที่สุดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

โดยสรุป คุณปู่นิ่มหมอปลอม ด็อกเตอร์โง่คนนี้  แกคงหาแนวทางให้หลานไม่ได้แน่ๆ เพราะ เด็กๆ นั้น  ถ้าจับมาให้ทำแบบนี้  คงร้องบ้านแตกแน่ๆ





สมาธิในการเรียนของหลาน

ผมต้องการจะวิพากษ์วิจารณ์การอบรม 10 วันของท่านโกเอ็นก้า  เมื่อค้นไปค้นมาก็พบหัวข้อกระทู้ห้องศาสนาในพันธุ์ทิพย์ที่เกี่ยวข้อง ก็เลยวิเคราะห์ผ่านกระทู้นั้นดีกว่า

คนตั้งกระทู้คือ Poohnim เห็นคนในแวดวงนั้น เรียก “ปูนิ่ม” ต่อไปก็จะเรียกตามนั้น  คุณปูนิ่มตั้งกระทู้ชื่อ “วิเคราะห์วิปัสสนา (แบบของท่านโกเอ็นก้า).จากประสบการณ์ของนักวิทยาศาสตร์

คุณปูนิ่ม ที่คงไม่โง่เหมือนนายกฯ ของประเทศสารขันธ์ (ยืนยันว่า ไม่ใช่ประเทศไทย) ประกาศคุณวุฒิก่อน ดังนี้

พื้นฐานการศึกษา :.
จบปริญญาเอก เรียนสายด้านการแพทย์ เป็นผู้รักษาและเป็นนักวิจัย

พื้นฐานศาสนา :.
ศาสนาพุทธแบบไม่ใช่พิธีกรรม ได้ยิน ได้อ่าน พอประมาณ ไม่เคยปฏิบัติ

พื้นฐานความเชื่อ :
ไม่เคยขอหวย ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ ไม่ชอบทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ ไม่ทอดผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน แต่จะทำบุญกับคนป่วย คนพิการ หมาจรจัด และให้ทุนการศึกษาเป็นประจำ

มาวิปัสสนาเพราะ :
ต้องการรู้ว่า วิธีนี้จะทำให้หลานมีสมาธิในการเรียนได้ดีขึ้นหรือไม่ ไม่ได้มาเพราะเป็นทุกข์ ไม่ได้ต้องการมาแก้กรรม ชีวิตมีความสุขดีมาก รู้สึกว่ามีพร้อม พอเพียงทุกอย่าง

เลือกแบบของท่านโกเอ็นก้าเพราะ :.
“ความทุกข์ของมนุษย์เป็นสากล ไม่ว่าศาสนาใดความทุกข์ของมนุษย์ก็เหมือนๆกัน การขจัดความทุกข์ก็ต้องเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องของศาสนา”

ผมอ่านถึงแค่ย่อหน้าแรกก็มึนไปเป็นครึ่งชั่วโมง  คุณปูนิ่ม ซึ่งมันสมองคงนิ่มไปชั่วขณะ แค่ต้องการจะหาแนวทางให้หลานมีสมาธิในการเรียน ถึงกับเอาตัวเองซึ่งเป็นด็อกเตอร์ยกกำลังสอง เป็นนักวิจัยด้วย ลงทุนหาความรู้ด้วยตัวเอง

บอกตรงๆ  อ่านแค่ย่อหน้านี้ ผมไม่อยากจะคิดในแง่ลบเลย  ผมว่า คุณปูนิ่ม คนนี้แกโกหกมากกว่า ถ้าคุณปูนิ่ม แกเป็นอย่างนั้นจริง อย่างที่แกว่ามา

คุณปูนิ่ม คือ เป็นด็อกเตอร์จริง เป็นหมอจริง จบปริญญาเอกจริง แกก็ต้องเป็นหมอ เป็นดอกเตอร์ ที่โง่ที่สุดเท่าที่ผมเคยพบเห็นมา

หลักฐานประการที่ 1
คุณปูนิ่มจะหาแนวทางฝึกสมาธิให้หลาน  คุณก็ต้องหากลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กอายุเท่าหลาน ความรู้เท่าหลาน และไปดูว่า เด็กเหล่านั้น ไปเรียนที่ไหน อย่างไร

นี่เอาตัวเองที่เป็นหมอ เป็นด็อกเตอร์ไปเรียน  หรือคุณปูนิ่มแกจะโง่กว่านายกฯ ของประเทศสารขันธ์ซะแล้ว

หลักฐานประการที่ 2

คุณปูนิ่ม แกบอกพื้นฐานศาสนากับพื้นฐานความเชื่อไว้ ดังนี้

ศาสนาพุทธแบบไม่ใช่พิธีกรรม ได้ยิน ได้อ่าน พอประมาณ ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยขอหวย ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ ไม่ชอบทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ ไม่ทอดผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน แต่จะทำบุญกับคนป่วย คนพิการ หมาจรจัด และให้ทุนการศึกษาเป็นประจำ

ผมไม่เข้าใจคำว่า “ศาสนาพุทธแบบไม่ใช่พิธีกรรม” ของคุณปูนิ่ม

แกบอกว่า “ไม่เคยปฏิบัติ” ซึ่งก็หมายความว่า ไม่เคยปฏิบัติธรรม อันนี้พอเข้าใจ  แต่เมื่อบอกว่า “ไม่เคยขอหวย” ผมก็เริ่มงงอีกครั้ง  มันมาเกี่ยวอะไรด้วย  หรือคุณปูนิ่มแกคิดว่า พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติธรรม ชอบขอหวย 

จากที่ผมคิดว่า คุณปูนิ่มแกโง่ชั่วคราว  ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่า คุณปูนิ่มแกคงบ้าชั่วคราวไปแล้ว

สำหรับข้อความนี้ “ไม่เชื่อในปาฏิหาริย์ ไม่ชอบทำบุญสร้างวัด สร้างโบสถ์ ไม่ทอดผ้าป่า ไม่ทอดกฐิน แต่จะทำบุญกับคนป่วย คนพิการ หมาจรจัด และให้ทุนการศึกษาเป็นประจำ

ผมก็เริ่มสันนิษฐานใหม่ว่า คุณปูนิ่มแกคงทั้งโง่ ทั้งบ้าไปแล้ว  คือ คุณปูนิ่มแทบจะไม่เชื่อในศาสนาพุทธเลย  พูดง่ายๆ ว่า ไม่เชื่อศาสนาพุทธในเมืองไทยเลย

แต่พอจะหาวิธีฝึกสมาธิให้หลาน ดันเสือกเลือกวิธีการปฏิบัติธรรมของพม่าในเมืองไทย  แล้วก็เอามาคุยโม้โอ้อวดในเว็บของเมืองไทย

คุณปูนิ่มแกคงทั้งโง่ทั้งบ้าแบบชั่วคราวไปแล้ว 

หลักฐานประการที่ 3

คุณปูนิ่มแกอธิบายเหตุผลของการมาวิปัสสนาไว้ ดังนี้

ต้องการรู้ว่า วิธีนี้จะทำให้หลานมีสมาธิในการเรียนได้ดีขึ้นหรือไม่ ไม่ได้มาเพราะเป็นทุกข์ ไม่ได้ต้องการมาแก้กรรม ชีวิตมีความสุขดีมาก รู้สึกว่ามีพร้อม พอเพียงทุกอย่าง

เรื่องหาวิธีการสร้างสมาธิให้หลานผมบอกไปแล้ว  แต่การที่คุณปูนิ่มแกบอกว่า “ไม่ได้มาเพราะเป็นทุกข์ ไม่ได้ต้องการมาแก้กรรม ชีวิตมีความสุขดีมาก รู้สึกว่ามีพร้อม พอเพียงทุกอย่าง

ผมก็เริ่มงงๆ อีกว่า แกบอกมาทำไม  หรือแกคิดว่า คนที่เข้าปฏิบัติธรรมเป็นเพราะต้องการการแก้กรรม หรือมีความทุกข์อย่างแสนสาหัส จึงต้องมาปฏิบัติธรรม

ถึงตอนนี้ ผมชักอยากจะรู้จริงว่า คุณปูนิ่มแกเป็นหมอจริงๆ หรือเปล่า  สงสัยว่า ถ้าไม่เป็นหมอดูตามต้นมะขาม  ก็น่าจะเป็นหมอนวดแผนโบราณ

ที่ว่าจบปริญญาเอก ก็น่าจะไปเรียนหลักสูตร “จ่ายครบ จบแน่” หรือไม่ก็ได้มาจากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก 

สำหรับที่แกคุยโม้ว่า เป็นนักวิจัยด้วยนั้น  คงเป็นงานวิจัยที่ สกว. รับไม่ได้แน่ๆ 

หลักฐานประการที่ 4  

คุณปูนิ่ม แกบอกเหตุผลที่เลือกแบบของท่านโกเอ็นก้าไว้ว่า “ความทุกข์ของมนุษย์เป็นสากล ไม่ว่าศาสนาใดความทุกข์ของมนุษย์ก็เหมือนๆ กัน การขจัดความทุกข์ก็ต้องเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องของศาสนา”

ถึงตอนนี้ ผมมึนไป 8 ตลบ 

ข้อความข้างต้นนั้น ไม่สมควรเป็นข้อความที่คนที่เรียนจบระดับปริญญาเอกเลย  มันมั่ว มันไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลเลย ถึงตอนนี้ ผมขอฟันธงไปเลย   อีนางปูนิ่มคนนี้ “โกหก” แน่ๆ  

ท่านโกเอ็นก้าท่านประกาศว่า แนวทางปฏิบัติธรรมของท่านเป็นแนวทางในศาสนาพุทธมาตลอด  อาจารย์ของโกเอ็นก้า ซึ่งเป็นคิดแนวทางนี้ ก็บอกว่า เป็นของพุทธ อีนางนี้บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องของศาสนา

อย่างไรก็ดี  คุณปูนิ่มแกชี้ให้เห็นลักษณะสำคัญของการปฏิบัติธรรมของโกเอ็นก้ารวมถึงสายสติปัฏฐาน 4 จากพม่าทุกสายด้วยคือ

สายของพระพม่านั้น เชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าศาสนา  เอาศาสนาไปเป็นเครื่องมือของวิทยาศาสตร์ ประเด็นนี้ ท่านโกเอ็นกาเองก็บอกแล้วว่า “ท่านเชื่อวิทยาศาสตร์”

พระพม่าเชื่อว่า “ตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียว”  แบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้น แนวทางปฏิบัติธรรมใดๆ ต้องเอาให้เสร็จสิ้นในชาตินี้ให้ได้ 


7 ปี  7 เดือน 7 วันบ้าง  10 วันบ้าง  เป็นแนวทางปฏิบัติธรรมแบบ “แดกด่วน” ทั้งสิ้น